ย่านเมืองเก่า (Hanoi Old Quarter)
ย่านเมืองเก่าของฮานอยเป็นเสมือนหัวใจทางประวัติศาสตร์และการค้าของเมืองหลวงแห่งนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณ เดิมทีเป็นที่ตั้งของชุมชนช่างฝีมือและร้านค้าที่แบ่งตามประเภทสินค้า แต่ละถนนจะตั้งชื่อตามสินค้าที่เคยขาย เช่น ถนนเครื่องเงิน (Hang Bac), ถนนเครื่องหนัง (Hang Da) และถนนผ้าไหม (Hang Gai) ย่านนี้จึงเป็นแหล่งรวมวัฒนธรรม การค้า และวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวฮานอยที่ยังคงมีชีวิตชีวาจนถึงปัจจุบัน
ทะเลสาบคืนดาบ (Hoan Kiem Lake)
ชื่อภาษาเวียดนามของทะเลสาบแห่งนี้คือ "ทะเลสาบฮหว่านเกี๋ยม" (Hoan Kiem) ซึ่งมีความหมายว่า "ดาบคืน" ตามตำนานที่เล่าขานกันมาว่าในศตวรรษที่ 15 จักรพรรดิเล เหล่ย (Le Loi) ได้รับดาบวิเศษจากสวรรค์เพื่อใช้ต่อสู้ขับไล่กองทัพจีน เมื่อได้ชัยชนะแล้ว ขณะที่พระองค์ล่องเรืออยู่ในทะเลสาบนี้ เต่ายักษ์ตัวหนึ่งได้โผล่ขึ้นมาทวงดาบศักดิ์สิทธิ์คืน แล้วนำดาบกลับลงไปสู่ใต้น้ำ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพและอิสรภาพของชาติ ปัจจุบันที่ใจกลางทะเลสาบยังมีเกาะเล็กๆ ที่มีหอคอยเต่า (Thap Rua) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นที่ที่เต่าศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัว
สุสานโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh Mausoleum)
สถานที่แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานและที่พักสุดท้ายของอดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์ ผู้นำการปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่ของเวียดนาม แม้ว่าโฮจิมินห์จะระบุไว้ในพินัยกรรมว่าต้องการให้เผาร่าง แต่รัฐบาลเวียดนามได้ตัดสินใจเก็บรักษาร่างของท่านไว้ในโลงแก้วเพื่อให้ประชาชนและผู้ที่เคารพรักได้เข้าชมและรำลึกถึงท่าน สุสานสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1973 และตั้งอยู่ที่จัตุรัสบาดิญ ซึ่งเป็นสถานที่ที่โฮจิมินห์ได้อ่านปฏิญญาอิสรภาพของเวียดนามในปี ค.ศ. 1945
วิหารวรรณกรรม (Temple of Literature)
วิหารแห่งนี้เป็นสถานที่ที่เก่าแก่และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างยิ่ง สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1070 โดยจักรพรรดิไล ไท ตอง เพื่ออุทิศให้แก่ปรัชญาเมธีขงจื๊อ (Confucius) และในปี ค.ศ. 1076 ได้มีการก่อตั้งโรงเรียนสำหรับเหล่าขุนนางขึ้นในบริเวณเดียวกัน ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นมหาวิทยาลัยแห่งชาติแห่งแรกของเวียดนาม ภายในวิหารมีแผ่นศิลาจารึกที่ตั้งอยู่บนหลังเต่าสลักชื่อนักปราชญ์ที่สอบผ่านการศึกษาในสมัยนั้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการศึกษาและปัญญาของชาวเวียดนามตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ประวัติโดยรวมของอ่าวฮาลอง
ชื่อ "ฮาลอง" ในภาษาเวียดนามแปลว่า "มังกรผู้ดำดิ่ง" (Vinh Ha Long) มีตำนานเล่าขานว่าในสมัยที่เวียดนามต่อสู้กับกองทัพผู้รุกรานจากทางเหนือ เทพเจ้าได้ส่งมังกรลงมาช่วยเหลือ มังกรได้พ่นอัญมณีและหยกออกมาจากปาก เมื่ออัญมณีเหล่านั้นตกลงสู่ทะเลก็ได้กลายเป็นเกาะแก่งน้อยใหญ่เพื่อขวางทางเรือรบของศัตรู ทำให้กองทัพผู้รุกรานต้องถอยทัพออกไป หลังจากนั้น มังกรได้ดำดิ่งลงไปใต้ท้องทะเลและตั้งรกรากอยู่ที่อ่าวแห่งนี้ อ่าวฮาลองได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติโดยองค์การยูเนสโกในปี พ.ศ. 2537 และได้รับการขยายพื้นที่เพิ่มเติมเพื่อรวมเกาะกั๊ตบาในปี พ.ศ. 2566
การล่องเรือชมอ่าว
การล่องเรือถือเป็นหัวใจสำคัญของการมาเยือนฮาลองเบย์ เพราะเป็นวิธีเดียวที่จะได้สัมผัสความงามของหมู่เกาะหินปูนที่โผล่ขึ้นมาจากผืนน้ำสีมรกตอย่างใกล้ชิด ทัศนียภาพของหินที่ถูกกัดเซาะเป็นรูปทรงต่างๆ จากแรงคลื่นและลมมานานนับล้านปี ทำให้แต่ละเกาะมีรูปลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์และน่าอัศจรรย์ใจ
ถ้ำทงเทียน (Thien Cung Cave)
ถ้ำแห่งนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ถ้ำสวรรค์" (Heavenly Palace Cave) เนื่องจากภายในถ้ำมีความสวยงามตระการตาและกว้างขวางราวกับเป็นพระราชวังในสวรรค์ ถ้ำทงเทียนถูกค้นพบโดยชาวประมงท้องถิ่นโดยบังเอิญ และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมในปี ค.ศ. 1990 ภายในถ้ำเต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยรูปร่างแปลกตาที่เกิดจากการสะสมของแคลเซียมคาร์บอเนตมาเป็นเวลานานนับล้านปี โดยมีการจัดแสงสีอย่างสวยงามเพื่อขับเน้นให้ความงามของหินภายในถ้ำโดดเด่นยิ่งขึ้น
เกาะแคทบา (Cat Ba Island)
เกาะแคทบาเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในอ่าวฮาลองและมีบทบาทสำคัญทางยุทธศาสตร์มาตั้งแต่ในอดีต ในช่วงสงครามเวียดนาม เกาะแห่งนี้เคยเป็นฐานที่มั่นของกองทัพเวียดนาม ซึ่งปัจจุบันยังคงมีร่องรอยทางประวัติศาสตร์ เช่น ป้อมปืนใหญ่ที่ตั้งอยู่บนยอดเขา ปัจจุบันเกาะแคทบาได้รับการประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติและเขตสงวนชีวมณฑลโดยยูเนสโก เนื่องจากมีระบบนิเวศที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งป่าดิบชื้น ชายหาดที่สวยงาม และหมู่บ้านชาวประมง ทำให้เป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมสำหรับผู้ที่ชื่นชอบธรรมชาติและการผจญภัย
สะพานญี่ปุ่น (Japanese Covered Bridge)
สะพานแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญที่สุดของฮอยอัน สร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1593 โดยชุมชนชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในเมือง เพื่อใช้เป็นเส้นทางเชื่อมระหว่างย่านชาวญี่ปุ่นกับย่านชาวจีนในสมัยนั้น ทำให้สองชุมชนสามารถทำการค้าและติดต่อสื่อสารกันได้สะดวกยิ่งขึ้น แม้จะเป็นเพียงสะพานไม้ธรรมดาแต่ก็มีหลังคาคลุม สร้างด้วยศิลปะแบบญี่ปุ่นแท้ๆ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความสัมพันธ์ทางการค้าและวัฒนธรรมระหว่างสองชาติในอดีต
เมืองเก่าฮอยอัน (Hoi An Ancient Town)
ในอดีตฮอยอันเคยเป็นเมืองท่าเรือการค้าที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 จนถึงศตวรรษที่ 19 โดยเป็นศูนย์กลางการค้าเครื่องเทศ ผ้าไหม และสินค้าอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ทำให้มีชาวต่างชาติจากหลากหลายประเทศเข้ามาตั้งรกราก ทั้งชาวญี่ปุ่น จีน และยุโรป สถาปัตยกรรมของเมืองเก่าจึงเป็นลูกผสมที่โดดเด่น ทั้งบ้านเรือนสไตล์จีนที่ประดับด้วยโคมไฟสีสันสดใส และอาคารสไตล์ฝรั่งเศสที่สะท้อนถึงยุคอาณานิคม ทำให้เมืองนี้มีความงดงามและมีเสน่ห์เฉพาะตัว จนได้รับการประกาศให้เป็น มรดกโลกทางวัฒนธรรมโดยยูเนสโกในปี ค.ศ. 1999
การล่องเรือกระด้ง (Basket Boat Tour)
เรือกระด้ง หรือที่ชาวเวียดนามเรียกว่า "เถิ่งจ่าย" (Thung Chai) มีประวัติยาวนานย้อนกลับไปถึงยุคอาณานิคมของฝรั่งเศส โดยในสมัยนั้นรัฐบาลอาณานิคมได้เก็บภาษีจากเรือทุกลำที่ชาวประมงใช้ ชาวบ้านจึงคิดค้นเรือรูปทรงกระด้งนี้ขึ้นมาเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี เพราะทางการฝรั่งเศสไม่ได้นับว่าสิ่งนี้เป็น "เรือ" ตามกฎหมาย เรือกระด้งจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของไหวพริบและภูมิปัญญาของชาวบ้านปัจจุบัน เรือกระด้งถูกนำมาใช้เป็นกิจกรรมท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม โดยเฉพาะในป่ามะพร้าวที่ฮอยอัน ซึ่งผู้ขับเรือจะพาคุณล่องไปตามลำคลองและแสดงความสามารถในการหมุนเรือ ซึ่งกลายเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนเมืองนี้
พระราชวังเมืองเว้ (Imperial City)
พระราชวังเมืองเว้ หรือในภาษาเวียดนามเรียกว่า ดั่ยโหน่ย (Dai Noi) เป็นป้อมปราการที่สร้างขึ้นโดยจักรพรรดิยาลอง (Gia Long) ในปี ค.ศ. 1805 และแล้วเสร็จในปี 1832 ในสมัยจักรพรรดิมิงห์ หมั่ง (Minh Mang) มีขนาดใหญ่ถึง 5.2 ตารางกิโลเมตร ภายในพระราชวังประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วนคือ พระราชวังหลวง, เมืองต้องห้ามสีม่วง (Forbidden Purple City) ซึ่งเป็นที่ประทับของจักรพรรดิและพระราชวงศ์ และป้อมปราการป้องกันเมือง การออกแบบนั้นได้รับอิทธิพลจาก พระราชวังต้องห้ามในกรุงปักกิ่ง แต่มีความเป็นศิลปะเวียดนามผสมผสาน น่าเสียดายที่พระราชวังได้รับความเสียหายอย่างหนักในช่วงสงครามเวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างการรุกรานในเทศกาลเต็ตปี ค.ศ. 1968 ซึ่งถือเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดที่สุดครั้งหนึ่งของสงคราม ปัจจุบันรัฐบาลเวียดนามได้พยายามบูรณะสถานที่แห่งนี้อย่างต่อเนื่องเพื่อรักษามรดกอันล้ำค่านี้ไว้
เจดีย์เทียนมู่ (Thien Mu Pagoda)
เจดีย์เทียนมู่ มีชื่อในภาษาไทยว่า "เจดีย์เทพธิดาสวรรค์" ตามตำนานที่เล่าว่าในศตวรรษที่ 17 ขณะที่ขุนนางเหงียนฮว่าง (Nguyen Hoang) กำลังหาพื้นที่สร้างเมืองหลวงแห่งใหม่ เขาได้เห็นหญิงชราคนหนึ่งแต่งตัวคล้ายเทพธิดานั่งอยู่บนเนินเขา นางได้ทำนายว่าจะมีผู้นำสร้างเมืองหลวงขึ้นที่นี่ จากนั้นนางก็หายตัวไป ขุนนางเหงียนฮว่างจึงได้สร้างเจดีย์ขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์และให้เกียรติแก่เทพธิดานั้น เจดีย์มีรูปทรงแปดเหลี่ยมสูง 7 ชั้น แต่ละชั้นเป็นตัวแทนของการอวตารของพระพุทธเจ้า เจดีย์แห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณและวัฒนธรรมของเมืองเว้มาตั้งแต่โบราณ นอกจากนี้ เจดีย์เทียนมู่ยังมีบทบาทสำคัญทางประวัติศาสตร์ในช่วงทศวรรษ 1960 เมื่อพระภิกษุทิก กว๋าง ดึ๊ก (Thich Quang Duc) ผู้ประท้วงการกดขี่พุทธศาสนาโดยรัฐบาลเวียดนามใต้ ได้ขับรถเก๋งคันเก่าที่มาจากวัดแห่งนี้ ไปเผาตัวเองกลางถนนในไซ่ง่อน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความสะเทือนใจไปทั่วโลก
สุสานจักรพรรดิ (Royal Tombs)
ในเว้มีสุสานของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เหงียนหลายแห่ง แต่ละแห่งมีสถาปัตยกรรมและการตกแต่งที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งสะท้อนถึงบุคลิกและรสนิยมของจักรพรรดิแต่ละพระองค์ สุสานเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ที่ฝังศพ แต่ยังเป็นสถานที่พักผ่อนและที่พำนักในโลกหลังความตายที่จักรพรรดิทรงออกแบบไว้ตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่
พิพิธภัณฑ์สงคราม (War Remnants Museum)
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1975 ในชื่อเดิมว่า พิพิธภัณฑ์อาชญากรรมสงครามจีน-อเมริกันและหุ่นเชิด (Museum of American War Crimes and Puppet Government) ซึ่งชื่อนี้สะท้อนถึงมุมมองของรัฐบาลเวียดนามเหนือที่มีต่อสงคราม ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นพิพิธภัณฑ์สงคราม (War Remnants Museum) ในปี ค.ศ. 1993 เพื่อสะท้อนเนื้อหาที่ครอบคลุมและเป็นกลางมากขึ้น พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดแสดงภาพถ่าย วัตถุ และหลักฐานต่างๆ ที่แสดงถึงความโหดร้ายและผลกระทบของสงครามที่มีต่อชีวิตพลเรือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้อาวุธเคมีอย่างสารพิษสีส้ม (Agent Orange) และการกระทำทารุณกรรมอื่นๆ
พระราชวังอิสรภาพ (Independence Palace)
พระราชวังแห่งนี้เดิมมีชื่อว่า พระราชวังนอโรดม (Norodom Palace) ซึ่งสร้างขึ้นโดยอาณานิคมฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1868 ต่อมาเมื่อเวียดนามได้รับเอกราช พระราชวังแห่งนี้ได้กลายเป็นทำเนียบประธานาธิบดีและเป็นที่ทำการของรัฐบาลเวียดนามใต้ ชื่อของพระราชวังถูกเปลี่ยนเป็น "พระราชวังอิสรภาพ" (Independence Palace) เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอิสระของชาติเหตุการณ์สำคัญที่สุดที่เกิดขึ้นที่นี่คือในวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1975 รถถังของกองทัพเวียดนามเหนือได้พุ่งชนประตูรั้วของพระราชวัง ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดอย่างเป็นทางการของสงครามเวียดนาม ปัจจุบันพระราชวังอิสรภาพยังคงรักษาสภาพดั้งเดิมไว้ เพื่อเป็นสถานที่รำลึกถึงเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์นั้น
อุโมงค์กู๋จี (Cu Chi Tunnels)
อุโมงค์กู๋จีเป็นเครือข่ายอุโมงค์ใต้ดินที่ซับซ้อนและมีความยาวกว่า 250 กิโลเมตร ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงสงครามต่อต้านฝรั่งเศส แต่ได้รับการขยายและพัฒนาอย่างกว้างขวางในช่วงสงครามเวียดนาม อุโมงค์แห่งนี้เป็นที่ตั้งของฐานทัพของกองทัพเวียดกง ซึ่งใช้เป็นที่หลบภัย ที่พักอาศัย โรงพยาบาลสนาม และเส้นทางลำเลียงเสบียงและกำลังพล ทำให้กองทัพสหรัฐฯ ไม่สามารถบุกเข้าทำลายได้ ระบบอุโมงค์ประกอบด้วยหลายระดับความลึก มีกับดักและทางเข้าที่ซ่อนอย่างแนบเนียน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อสู้แบบกองโจร ปัจจุบันอุโมงค์บางส่วนได้รับการปรับปรุงและเปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปสำรวจได้ เพื่อเรียนรู้ถึงชีวิตและความยากลำบากของทหารในอดีต
ตามก๊ก-บิ๊กดง (Tam Coc-Bich Dong)
ตามก๊ก (Tam Coc): ชื่อนี้แปลว่า "สามถ้ำ" ตามภาษาเวียดนามโบราณ ได้แก่ ถ้ำคาก (Ca Cave), ถ้ำไฮ (Hai Cave) และถ้ำบา (Ba Cave) การล่องเรือในพื้นที่นี้เป็นการพายเรือตามแม่น้ำโง่ด่อง (Ngo Dong River) ซึ่งไหลผ่านกลางหุบเขาและลอดผ่านถ้ำหินปูนทั้งสามแห่ง แต่ละถ้ำมีหินงอกหินย้อยที่สวยงามน่าอัศจรรย์ การล่องเรือในตามก๊กทำให้คุณได้ใกล้ชิดกับทัศนียภาพของภูเขาหินปูนและทุ่งนาอันเขียวขจีอย่างแท้จริง
บิ๊กดง (Bich Dong): ชื่อนี้แปลว่า "ถ้ำหยก" เนื่องจากความสวยงามของภูมิทัศน์และถ้ำที่มีลักษณะคล้ายกับมรกตหรือหยก ที่นี่มีวัดโบราณสามแห่งที่สร้างขึ้นบนภูเขา ได้แก่ วัดล่าง (Ha Pagoda), วัดกลาง (Trung Pagoda) และวัดบน (Thuong Pagoda) โดยเฉพาะวัดกลางที่มีอายุย้อนไปถึงศตวรรษที่ 18 ถือเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของสถาปัตยกรรมที่กลมกลืนกับธรรมชาติ
จ่างอาน (Trang An)
จ่างอานมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพียงแค่แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามเท่านั้น แต่ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลกแบบผสม (Cultural and Natural Heritage) แห่งแรกของเวียดนามโดยยูเนสโกในปี ค.ศ. 2014 ในอดีต จ่างอานเคยเป็นที่ตั้งของ เมืองหลวงเก่าและป้อมปราการของราชวงศ์ดิงห์ (Dinh Dynasty) และราชวงศ์เล (Le Dynasty) ในช่วงศตวรรษที่ 10 และ 11 ภูมิประเทศที่เป็นภูเขาหินปูนสลับซับซ้อนและแม่น้ำที่เชื่อมต่อกันเป็นวงกว้างได้ถูกใช้เป็นปราการทางธรรมชาติในการป้องกันเมือง การค้นพบทางโบราณคดีได้เผยให้เห็นหลักฐานการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ในถ้ำหลายแห่ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพื้นที่แห่งนี้มีความสำคัญต่อการอยู่อาศัยของมนุษย์มาอย่างยาวนาน การล่องเรือในจ่างอานจึงไม่ได้เพียงแค่ชมความงามของถ้ำและภูเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นการย้อนรอยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันรุ่งเรืองของเวียดนามในอดีตอีกด้วย
ทะเลทรายขาว (White Sand Dunes)
ทะเลทรายขาวมีชื่อเรียกในภาษาเวียดนามว่า "บ่าวจาง" (Bàu Trắng) ซึ่งแปลว่า "ทะเลสาบสีขาว" หรือ "เนินทรายขาว" ตามชื่อที่บ่งบอก ที่นี่มีเนินทรายสีขาวขนาดใหญ่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาคล้ายกับทะเลทรายในแอฟริกา สิ่งที่ทำให้ทะเลทรายแห่งนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคือ ทะเลสาบที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ซึ่งมีดอกบัวสีชมพูบานสะพรั่งในช่วงฤดูร้อน เนินทรายแห่งนี้เกิดขึ้นจากลมทะเลที่พัดพาตะกอนทรายมาทับถมกันเป็นเวลานานจนกลายเป็นเนินทรายขนาดมหึมา นักท่องเที่ยวนิยมมาที่นี่เพื่อทำกิจกรรมสุดเร้าใจ เช่น ขับรถเอทีวี (ATV) ขึ้นเนินทราย หรือ เล่นสไลด์บอร์ด ลงจากเนินทรายสูงๆ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ไม่ควรพลาด
ทะเลทรายแดง (Red Sand Dunes)
ทะเลทรายแดงมีชื่อเรียกในภาษาเวียดนามว่า "ดอยกัดฮ่อง" (Đồi Cát Hồng) ซึ่งแปลว่า "เนินทรายแดง" สาเหตุที่เนินทรายแห่งนี้มีสีออกแดงอมส้มเป็นเพราะมีส่วนผสมของแร่ธาตุเหล็กอยู่ในเนื้อทราย ทำให้มีสีสันที่สวยงามแตกต่างจากทะเลทรายขาว
เนินทรายแดงมีขนาดเล็กกว่าและตั้งอยู่ใกล้กับชายฝั่งทะเลมากกว่าทะเลทรายขาว ทำให้เป็นจุดที่เหมาะสำหรับการมาชม พระอาทิตย์ตกดิน ที่สวยงามและโรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งในเวียดนาม แสงสีทองของดวงอาทิตย์ที่สาดส่องลงบนเนินทรายสีแดงจะสร้างทัศนียภาพที่น่าประทับใจไม่รู้ลืม และเช่นเดียวกับทะเลทรายขาว ที่นี่ก็มีกิจกรรมเล่นสไลด์บอร์ดบนผืนทรายให้ได้ลองสนุกกันด้วย
สวนสนุก VinWonders Phu Quoc
สวนสนุกแห่งนี้เป็นหนึ่งในโครงการขนาดใหญ่ที่ดำเนินการโดย วินเพิร์ล (Vinpearl) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือวินกรุ๊ป (Vingroup) ยักษ์ใหญ่ด้านอสังหาริมทรัพย์และการท่องเที่ยวของเวียดนาม VinWonders Phu Quoc เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 2020 โดยเป็นสวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนามและเป็นหนึ่งในสวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การก่อตั้งสวนสนุกแห่งนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกและเสริมสร้างให้เกาะฟูก๊วกเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวระดับนานาชาติ
ภายในสวนสนุกมีการแบ่งโซนต่างๆ ตามธีมที่หลากหลาย ทั้งดินแดนแห่งเทพนิยาย, อาณาจักรลึกลับ, และเครื่องเล่นหวาดเสียวที่ทันสมัย ทำให้เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัย
สะพานจูบ (Kiss Bridge)
สะพานจูบ หรือในภาษาเวียดนามเรียกว่า เกิ่วห่ง (Cầu Hôn) เป็นโครงสร้างที่ออกแบบมาเพื่อการท่องเที่ยวโดยเฉพาะและถือเป็นสัญลักษณ์ใหม่ของฟูก๊วก สะพานแห่งนี้เป็นผลงานการออกแบบของสถาปนิกชาวอิตาลีชื่อ มาร์โก คาซามอนติ (Marco Casamonti) ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวความรักอันโรแมนติกและตำนานพื้นบ้าน สะพานนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2023 โดยมีลักษณะพิเศษคือมีสองส่วนที่แยกจากกัน แต่ปลายสะพานจะยื่นเข้าหากันจนเกือบจะแตะกันพอดี
การออกแบบเช่นนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้คู่รักได้มายืนคนละฝั่งและยื่นตัวเพื่อ "จูบ" กันได้ นอกจากนี้ยังมีการคำนวณตำแหน่งอย่างแม่นยำเพื่อให้แสงอาทิตย์ยามเย็นส่องผ่านช่องว่างระหว่างสะพานได้อย่างลงตัว ทำให้สะพานจูบแห่งนี้กลายเป็นจุดที่ได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับการชมพระอาทิตย์ตกดินและเป็นฉากหลังสำหรับภาพถ่ายที่น่าประทับใจ