10 สถานที่เที่ยวอินโดนีเซีย - บาหลี

1.พุทธสถานบุโรพุทโธ

ประวัติ

บุโรพุทโธเป็นพุทธสถานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 8 โดยกษัตริย์ราชวงศ์ไศเลนทร์แห่งอาณาจักรศรีวิชัยบนเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย สร้างขึ้นจากหินภูเขาไฟเพื่อเป็นสถูปเจดีย์ขนาดมหึมา บอกเล่าเรื่องราวพุทธประวัติและชาดกผ่านภาพสลักนูนต่ำที่วิจิตรบรรจง และเป็นเสมือนแผนผังจำลองจักรวาลตามคติพุทธศาสนามหายาน หลังจากถูกทอดทิ้งและถูกปกคลุมด้วยเถ้าภูเขาไฟมาหลายร้อยปี บุโรพุทโธได้รับการค้นพบอีกครั้งในปี ค.ศ. 1814 โดยเซอร์ โทมัส สแตมฟอร์ด แรฟเฟิลส์ จากนั้นได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ในช่วงปี ค.ศ. 1975-1982 โดยรัฐบาลอินโดนีเซียร่วมกับยูเนสโก และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1991 จนถึงปัจจุบันก็ยังคงเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธ


เอกลักษณ์

สถาปัตยกรรม 3 ระดับ: อาคารถูกออกแบบเป็นทรงพีระมิดขั้นบันได 3 ชั้นที่แทนโลกทั้ง 3 ในคติพุทธศาสนา ได้แก่ โลกของกาม โลกของรูป และโลกของอรูป ภาพสลักนูนต่ำที่ยาวที่สุดในโลก: มีภาพสลักกว่า 2,672 แผ่น เรียงต่อกันเป็นแนวยาวกว่า 5 กิโลเมตร บอกเล่าเรื่องราวพุทธประวัติและชาดกต่างๆ พระพุทธรูปกว่า 500 องค์: มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่บนตัวอาคารรวมทั้งหมด 504 องค์ในอิริยาบถและมุทราที่แตกต่างกัน การก่อสร้างโดยไร้ปูน: สร้างจากหินภูเขาไฟกว่า 2 ล้านก้อนที่นำมาเรียงซ้อนกันโดยไม่ได้ใช้วัสดุยึดเกาะ แต่มีความแข็งแรงทนทาน สัญลักษณ์ของการเดินทางสู่การตรัสรู้: การเดินขึ้นไปตามลำดับชั้นของบุโรพุทโธเปรียบเสมือนการเดินทางทางจิตวิญญาณเพื่อเข้าถึงนิพพาน

2.วัดปรัมบานัน

ประวัติ

วัดปรัมบานันเป็นเทวสถานฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 9 โดยกษัตริย์ราชวงศ์มตารัม เพื่อถวายแด่เทพเจ้าสูงสุดสามองค์ (ตรีมูรติ)หลังจากถูกทอดทิ้งในช่วงการย้ายศูนย์กลางอำนาจของอาณาจักรและภัยจากภูเขาไฟ วัดปรัมบานันก็ถูกปกคลุมไปด้วยซากปรักหักพังเป็นเวลานานหลายร้อยปี ต่อมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 จึงได้รับการค้นพบและมีการบูรณะครั้งใหญ่ในภายหลัง โดยเฉพาะในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 ปัจจุบัน วัดปรัมบานันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก และเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของอินโดนีเซีย


เอกลักษณ์

เทวสถานฮินดูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย: ต่างจากบุโรพุทโธที่เป็นพุทธสถาน ปรัมบานันคือศูนย์กลางของศาสนาฮินดูในยุคนั้น โดยสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่ เทพเจ้าตรีมูรติ คือ พระศิวะ พระวิษณุ และพระพรหมปรฤาสาทหินทรงสูงและเพรียว: สถาปัตยกรรมของปรัมบานันมีจุดเด่นที่ยอดปราสาททรงสูงและแหลมคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปราสาทองค์ประธานของพระศิวะ ที่มีความสูงถึง 47 เมตร ตั้งอยู่เด่นเป็นสง่าอยู่ตรงกลาง ภาพสลักนูนต่ำเรื่องมหากาพย์รามายณะ: ผนังปราสาทมีภาพสลักที่วิจิตรงดงาม บอกเล่าเรื่องราวจากมหากาพย์ รามายณะ และภควัตปุราณะ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากภาพสลักในพุทธสถานอย่างชัดเจน สัญลักษณ์ของความสมมาตร: กลุ่มปราสาทถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบในรูปแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัสแบบสมมาตร โดยมีปราสาทหลัก 3 องค์อยู่ตรงกลาง และปราสาทบริวารรายล้อม ความสัมพันธ์กับบุโรพุทโธ: การที่ปรัมบานัน (ศาสนาฮินดู) และบุโรพุทโธ (ศาสนาพุทธ) ตั้งอยู่ใกล้เคียงกัน แสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองทางศาสนาและความอดทนทางความเชื่อในอาณาจักรชวาโบราณ

3.พระราชวังสุลต่าน

ประวัติ

พระราชวังสุลต่านแห่งยอกยาการ์ตา หรือที่เรียกกันว่า เกราตอน (Keraton) มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและเป็นหัวใจสำคัญของเมือง สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2298 (ค.ศ. 1755) โดย สุลต่านฮาเม็งกูบูโวโนที่ 1 หลังจากเกิดการแบ่งแยกอาณาจักรมตารัม (Mataram) ออกเป็นสองส่วน พระราชวังแห่งนี้จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางการปกครองแห่งใหม่และเป็นที่ประทับของราชวงศ์ฮาเม็งกูบูโวโนสืบมา


ตัวพระราชวังไม่ได้เป็นเพียงที่อยู่อาศัยของสุลต่านเท่านั้น แต่ยังถูกออกแบบให้เป็นศูนย์กลางทางจักรวาลวิทยาของชาวชวา โดยมีแกนหลักที่เชื่อมต่อจากทิศเหนือไปทิศใต้ระหว่างภูเขาไฟเมราปี (Mount Merapi) และมหาสมุทรอินเดียซึ่งถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ด้วยความสำคัญนี้เอง พระราชวังจึงเป็นแหล่งรวมศิลปะ วัฒนธรรม และประเพณีเก่าแก่ของชาวชวาไว้มากมาย รวมถึงเป็นสถานที่จัดพิธีกรรมที่สำคัญต่าง ๆ ตลอดจนการอนุรักษ์ดนตรีนาฏศิลป์และการแสดงหุ่นกระบอก


แม้ว่าปัจจุบันประเทศอินโดนีเซียจะปกครองด้วยระบอบสาธารณรัฐแล้ว แต่พระราชวังแห่งนี้ก็ยังคงทำหน้าที่เป็นที่ประทับของสุลต่านองค์ปัจจุบันและพระราชวงศ์อย่างต่อเนื่อง และในขณะเดียวกันก็เปิดพื้นที่บางส่วนให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าชมในฐานะพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงโบราณวัตถุและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการดำรงอยู่ของสถาบันกษัตริย์ในฐานะสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณของชาวชวาได้อย่างดีเยี่ยม

เอกลักษณ์

พระราชวังสุลต่าน หรือ "เกราตอน" (Keraton) เป็นมากกว่าอาคารเก่าแก่ แต่เป็นศูนย์รวมจิตวิญญาณและวัฒนธรรมของชาวชวา เอกลักษณ์ที่โดดเด่นของพระราชวังแห่งนี้คือการเป็นศูนย์กลางทางจักรวาลวิทยา ซึ่งผังการสร้างพระราชวังถูกวางอยู่บนแกนสมมติที่เชื่อมโยงระหว่างยอด ภูเขาไฟเมราปี ที่ถือเป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์และพลังศักดิ์สิทธิ์ กับ มหาสมุทรอินเดีย ซึ่งเป็นที่สถิตของนางนยีกีโดรลคิดุล (Nyi Roro Kidul) เทพเจ้าหญิงแห่งท้องทะเล


เอกลักษณ์สำคัญอีกประการหนึ่งคือบทบาทของพระราชวังที่ทำหน้าที่ควบคู่กันไปอย่างสมบูรณ์แบบในฐานะ ที่ประทับของราชวงศ์ และ ศูนย์กลางทางศิลปะและวัฒนธรรม ไปพร้อมๆ กัน โดยยังคงเป็นที่ประทับของสุลต่านองค์ปัจจุบันและพระราชวงศ์ ทำให้พระราชวังมีชีวิตชีวา ไม่ใช่เพียงโบราณสถานที่ตายแล้ว นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งอนุรักษ์ศิลปะชั้นสูงของชาวชวา ทั้งการแสดงดนตรี ฆาเมลัง (Gamelan) การเต้นรำแบบคลาสสิก และการแสดงหุ่นเชิดหนัง (Wayang Kulit) ซึ่งยังคงมีการฝึกฝนและจัดแสดงภายในพระราชวังอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้


นอกจากนี้ งานสถาปัตยกรรมของพระราชวังยังมีความพิเศษอย่างยิ่ง ด้วยการผสมผสานระหว่างศิลปะชวาแบบดั้งเดิมเข้ากับอิทธิพลจากยุคอาณานิคมของดัตช์ได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะการใช้ ศาลาเปิดโล่ง (Pendopo) ที่มีหลังคาสูงตกแต่งอย่างงดงาม และเป็นพื้นที่สำหรับประกอบพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งสะท้อนถึงภูมิปัญญาในการออกแบบเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพอากาศเขตร้อนของอินโดนีเซียได้อย่างชาญฉลาดอีกด้วย

4.วัดอูลูวาตู

ประวัติ

วัดอูลูวาตู (Pura Luhur Uluwatu) เป็นหนึ่งในวัดฮินดูที่เก่าแก่และมีความสำคัญทางจิตวิญญาณอย่างยิ่งบนเกาะบาหลี สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 โดยนักบวชชาวชวาชื่อ เอิมปู กูตูรัน และได้รับการพัฒนาเพิ่มเติมในภายหลังโดย ดังฮียัง นีราร์ตา ความพิเศษที่ทำให้วัดแห่งนี้โดดเด่นไม่เหมือนใครคือทำเลที่ตั้งอันน่าทึ่งบนหน้าผาสูงชันกว่า 70 เมตร เหนือมหาสมุทรอินเดีย ทำให้เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ วัดยังขึ้นชื่อเรื่อง การแสดงระบำเกอจัก (Kecak Dance) อันเลื่องชื่อที่จัดขึ้นทุกเย็นในช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกดิน และเป็นที่อยู่อาศัยของฝูงลิงแสมจำนวนมาก ซึ่งตามความเชื่อท้องถิ่นถือว่าเป็นผู้พิทักษ์วัดแห่งนี้ วัดอูลูวาตูเป็นหนึ่งในหกวัดหลักของบาหลีที่ทำหน้าที่เป็นเสาหลักทางจิตวิญญาณในการปกป้องเกาะ ทำให้สถานที่แห่งนี้มีความสำคัญทั้งในเชิงประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ และวัฒนธรรม

เอกลักษณ์

เอกลักษณ์ที่โดดเด่นที่สุดของวัดอูลูวาตูคือ ทำเลที่ตั้ง อันน่าทึ่งบนหน้าผาสูงชันกว่า 70 เมตร เหนือท้องทะเลสีครามของมหาสมุทรอินเดีย การที่วัดสร้างขึ้นบนจุดที่อันตรายและงดงามเช่นนี้ ทำให้วัดแห่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่ยังเป็นหนึ่งในจุดชมพระอาทิตย์ตกที่งดงามที่สุดในโลก



วัดแห่งนี้ยังขึ้นชื่อเรื่อง การแสดงระบำเกอจัก (Kecak Dance) อันเลื่องชื่อที่จัดขึ้นทุกเย็นในช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกดิน โดยนักแสดงชายจำนวนมากจะร่วมกันร้อง "จัก-จัก" เป็นจังหวะพร้อมการแสดงจากมหากาพย์รามายณะ ทำให้เกิดการผสมผสานระหว่างศิลปะ วัฒนธรรม และทิวทัศน์ธรรมชาติอันงดงามได้อย่างลงตัว


อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้วัดอูลูวาตูไม่เหมือนใครคือการเป็นที่อยู่ของ ฝูงลิงแสม จำนวนมาก ซึ่งตามความเชื่อท้องถิ่น ลิงเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์วัดจากวิญญาณชั่วร้าย แม้จะเป็นที่รู้กันว่าพวกมันค่อนข้างซุกซนและชอบแย่งชิงสิ่งของจากนักท่องเที่ยว แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่สร้างสีสันและเรื่องราวให้กับวัดแห่งนี้

5.วัดเม็งวี

ประวัติ

ปุราทามันอายุน หรือที่รู้จักกันในชื่อ วัดเม็งวี มีประวัติศาสตร์อันยาวนานย้อนไปถึงช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ซึ่งเป็นยุคที่อาณาจักรต่างๆ บนเกาะบาหลีกำลังแข่งขันกันเพื่อแสดงอำนาจ โดยวัดแห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1634 โดย กุสตี อากุง ปูตู ซึ่งเป็นกษัตริย์ผู้ปกครองอาณาจักรเม็งวีในขณะนั้น มีจุดประสงค์หลักเพื่อใช้เป็นวัดประจำราชวงศ์ (Pura Kawitan) สำหรับสักการะบูชาดวงวิญญาณของบรรพบุรุษราชวงศ์เม็งวีโดยเฉพาะ จึงเป็นศูนย์รวมจิตใจและความภาคภูมิใจของอาณาจักร


วัดนี้ถูกออกแบบอย่างพิถีพิถันให้เป็นสัญลักษณ์ของจักรวาล ซึ่งล้อมรอบด้วยคูน้ำขนาดใหญ่เพื่อให้ดูราวกับเป็นเกาะที่ลอยอยู่กลางน้ำ สอดคล้องกับชื่อ "ทามันอายุน" ที่มีความหมายว่า "วัดสวนที่สวยงาม" ภายในวัดเต็มไปด้วยอาคารสิ่งปลูกสร้างอันศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะ เมรุ (Meru) หรือเจดีย์ทรงสูงหลายชั้นที่แสดงถึงลำดับชั้นทางจิตวิญญาณ ซึ่งทั้งหมดถูกสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมบาหลีชั้นสูงที่โดดเด่น


อย่างไรก็ตาม เมื่ออาณาจักรเม็งวีเริ่มเสื่อมอำนาจและล่มสลายลงในคริสต์ศตวรรษที่ 19 วัดแห่งนี้ก็ถูกทอดทิ้งและได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติและแผ่นดินไหวหลายครั้ง แต่ด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์และศิลปะอันยิ่งใหญ่ ทำให้มีการบูรณะฟื้นฟูครั้งใหญ่ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 และได้มีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องจนกลับมาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ดังเช่นปัจจุบัน กระทั่งในปี พ.ศ. 2555 (ค.ศ. 2012) องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้วัดปุราทามันอายุนเป็นหนึ่งในแหล่ง มรดกโลก ของบาหลี เพื่อเป็นการยกย่องคุณค่าและความสำคัญของสถานที่แห่งนี้ที่ได้ยืนหยัดผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน


เอกลักษณ์

วัดเม็งวีหรือ ปุราทามันอายุน มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นอย่างมากในเรื่องของการออกแบบภูมิทัศน์และสถาปัตยกรรม โดยเอกลักษณ์ที่โดดเด่นที่สุดคือ การมีคูน้ำขนาดใหญ่โอบล้อมรอบตัววัด ทำให้ดูราวกับว่าวัดแห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะลอยน้ำที่สง่างาม สร้างบรรยากาศที่เงียบสงบและร่มรื่นตั้งแต่ทางเข้า ซึ่งสอดคล้องกับชื่อของวัดที่แปลว่า "วัดสวนที่สวยงาม"


นอกจากนี้ ภายในวัดยังโดดเด่นด้วย เจดีย์ทรงสูง หรือ เมรุ (Meru) หลายหลัง ที่มีจำนวนชั้นแตกต่างกันไปและสร้างเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ เป็นสัญลักษณ์ของภูเขาพระสุเมรุในคติความเชื่อของศาสนาฮินดู ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาลตามความเชื่อของชาวบาหลี


เอกลักษณ์สำคัญอีกประการคือบทบาททางประวัติศาสตร์ในฐานะ วัดประจำราชวงศ์ ของอาณาจักรเม็งวี ซึ่งทำให้วัดแห่งนี้เป็นสถานที่ที่มีความศักดิ์สิทธิ์และมีคุณค่าทางจิตวิญญาณสูงยิ่ง และด้วยความสำคัญทั้งหมดนี้เอง ทำให้วัดปุราทามันอายุนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลก โดยยูเนสโกในปี ค.ศ. 2012 ในฐานะที่เป็นตัวแทนของระบบชลประทานแบบดั้งเดิมของชาวบาหลี (Subak) และวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้อง

6.วัดอูลันดานูบราตัน

ประวัติ

วัดอูลันดานูบราตัน (Pura Ulun Danu Beratan) เป็นศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์ที่ผูกพันกับวิถีชีวิตของชาวบาหลีมาอย่างยาวนาน สร้างขึ้นเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1633 ในรัชสมัยของกษัตริย์แห่งอาณาจักรเม็งวีเพื่อเป็นสถานที่บูชา เทพธิดาเดวิดานู (Dewi Danu) ซึ่งเชื่อว่าเป็นเทพเจ้าแห่งสายน้ำและเป็นผู้ประทานความอุดมสมบูรณ์ให้กับทะเลสาบบราตัน ซึ่งเป็นแหล่งน้ลประทาน สุบัดกด(Subak) อันเก่าแก่ของชาวบาหลี


ตัววัดมีความโดดเด่นอย่างยิ่งด้วยทำเลที่ตั้งอยู่บนผืนน้ำของทะเลสาบบราตัน ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ภูเขาสูงที่เรียกว่าเบดูกุล ทำให้บรรยากาศโดยรอบมีเมฆหมอกและอากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปี เมื่อระดับน้ำในทะเลสาบสูงขึ้น ตัววัดหลักจะดูเหมือนลอยอยู่บนผิวน้ำ สร้างทัศนียภาพอันน่าทึ่งและสงบเงียบ ภายในบริเวณวัดประกอบด้วยกลุ่มอาคารหลายหลังที่ต่างสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่เทพเจ้าองค์อื่น ๆ รวมถึง เจดีย์ทรงสูงแบบเมรุ (Meru) ซึ่งมีจำนวนชั้นแตกต่างกันไปและสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระศิวะ และเทพธิดาดานู รวมถึงเป็นตัวแทนของยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ


ความสำคัญของวัดแห่งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในฐานะแหล่งท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางทางจิตวิญญาณของชุมชนท้องถิ่นที่พึ่งพิงน้ำจากทะเลสาบเพื่อทำการเกษตร วัดอูลันดานูบราตันจึงเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความผูกพันอันลึกซึ้งระหว่างศาสนา ธรรมชาติ และวิถีชีวิตของชาวบาหลีได้อย่างสมบูรณ์แบบ

เอกลักษณ์ที่โดดเด่นและเป็นที่จดจำที่สุดของวัดอูลันดานูบราตันคือ ทำเลที่ตั้ง อันน่าทึ่งบนผิวน้ำของ ทะเลสาบบราตัน ในพื้นที่ภูเขาสูงของเกาะบาหลี ตัววัดหลักดูราวกับลอยอยู่เหนือน้ำ ทำให้เกิดภาพสะท้อนที่สวยงามราวกับภาพวาด โดยเฉพาะในช่วงที่มีหมอกปกคลุมยามเช้า ทำให้วัดแห่งนี้มีบรรยากาศที่เงียบสงบและเต็มไปด้วยมนต์ขลังแตกต่างจากวัดอื่นๆ


นอกจากนี้ การสร้างวัดแห่งนี้ยังสะท้อนความเชื่ออันลึกซึ้งของชาวบาหลีที่มีต่อธรรมชาติ เนื่องจากวัดแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่ เทพธิดาแห่งสายน้ำ เทวีดานู (Dewi Danu) ผู้ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นผู้ประทานความอุดมสมบูรณ์และน้ำให้แก่พื้นที่เพาะปลูกในภูมิภาคนี้ ทำให้วัดอูลันดานูบราตันไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยว แต่เป็นศูนย์กลางทางจิตวิญญาณที่มีบทบาทสำคัญต่อวิถีชีวิตและเกษตรกรรมของชาวบาหลีมาอย่างยาวนาน

7.วิหารทานาห์ลอต

ประวัติ

ปราสาททานาห์ลอต (Pura Tanah Lot) มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและผูกพันกับตำนานอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวบาหลีมาอย่างยาวนาน ซึ่งถูกสร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดย ดังฮียัง นีราร์ตา (Danghyang Nirartha) นักบวชฮินดูผู้ยิ่งใหญ่จากเกาะชวาที่เดินทางมาเผยแผ่ศาสนาในบาหลี เมื่อท่านมาถึงบริเวณนี้และเห็นโขดหินกลางทะเลที่โดดเดี่ยว ท่านรู้สึกได้ถึงพลังงานศักดิ์สิทธิ์ จึงได้นั่งสมาธิและเทศนาอยู่ที่นั่น


ตามตำนานเล่าว่า หัวหน้าหมู่บ้านในท้องถิ่นไม่พอใจกับการปรากฏตัวของท่านและต้องการขับไล่ท่านออกไป ท่านจึงใช้พลังวิเศษยกโขดหินนั้นขึ้นจากทะเล และเปลี่ยนผ้าคาดตัวของท่านให้กลายเป็น งูทะเล เพื่อปกป้องวัดจากผู้ที่คิดร้าย จากตำนานนี้ทำให้ปราสาททานาห์ลอตกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่อุทิศให้แก่ เทพเจ้าแห่งท้องทะเล เพื่อขอพรให้ชาวประมงและผู้คนในแถบชายฝั่งทะเลมีความปลอดภัยและอุดมสมบูรณ์


แม้กาลเวลาจะผ่านมาหลายร้อยปี ปราสาททานาห์ลอตก็ยังคงยืนหยัดอย่างมั่นคง แต่ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ตัวโขดหินและตัววัดเริ่มทรุดโทรมลงอย่างมาก รัฐบาลอินโดนีเซียจึงร่วมกับรัฐบาลญี่ปุ่นริเริ่มโครงการฟื้นฟูครั้งใหญ่ในช่วงปี ค.ศ. 1980s โดยมีการเสริมความแข็งแรงให้กับฐานรากของโขดหินเพื่อป้องกันการพังทลาย ทำให้วัดแห่งนี้กลับมางดงามและสามารถต้อนรับนักท่องเที่ยวได้อีกครั้ง และยังคงเป็นสถานที่ที่สำคัญสำหรับพิธีกรรมทางศาสนาของชาวบาหลีตราบจนทุกวันนี้


เอกลักษณ์

เอกลักษณ์ที่โดดเด่นและสร้างความประทับใจที่สุดของปราสาททานาห์ลอตคือ ทำเลที่ตั้ง อันน่าทึ่งบนโขดหินขนาดใหญ่กลางทะเลริมชายฝั่งของเกาะบาหลี ความพิเศษคือในช่วงที่น้ำทะเลขึ้นสูง ตัววัดจะถูกตัดขาดจากแผ่นดินโดยสิ้นเชิง ทำให้ไม่สามารถเข้าไปได้ และต้องรอให้น้ำลดลงจึงจะสามารถเดินข้ามไปได้ ซึ่งลักษณะทางธรรมชาตินี้เองที่ทำให้วัดแห่งนี้มีบรรยากาศที่ลึกลับและศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง


นอกจากนี้ ปราสาททานาห์ลอตยังมีบทบาทสำคัญในฐานะ วัดแห่งการบูชาเทพเจ้าแห่งท้องทะเล เพื่อขอพรให้ชาวประมงและการเดินเรือปลอดภัย ถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบวัดที่ตั้งอยู่ตามแนวชายฝั่งเพื่อปกป้องเกาะบาหลี และด้วยทำเลที่สวยงามไม่เหมือนใคร ทำให้วัดแห่งนี้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ยอดนิยมที่สุดสำหรับการชมและถ่ายภาพ พระอาทิตย์ตก ซึ่งทิวทัศน์ยามอาทิตย์อัสดงที่ทอดแสงลงบนโขดหินและท้องทะเลได้สร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

8.สวนวิษณุการูด้า

ประวัติ

อุทยานวัฒนธรรมการูดาวิษณุกันจานา (Garuda Wisnu Kencana Cultural Park) มีประวัติการสร้างที่ยาวนานและเต็มไปด้วยอุปสรรค เริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) จากวิสัยทัศน์ของ อีดะ บากุส มาเด เกเด ร่วมกับประติมากรชาวบาหลีชื่อดัง โญมัน นูอาร์ตา (Nyoman Nuarta) ที่ต้องการสร้างรูปปั้นขนาดมหึมาเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความศรัทธาและจิตวิญญาณของชาวอินโดนีเซีย รูปปั้นนี้ตั้งใจให้เป็นตัวแทนของ พระวิษณุ เทพผู้พิทักษ์แห่งจักรวาล และ พญาครุฑ (การูดา) พาหนะของพระองค์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความภักดีและความแข็งแกร่ง


โครงการก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่และมีความซับซ้อนนี้ต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิกฤตเศรษฐกิจเอเชียในปี พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) ทำให้การก่อสร้างต้องหยุดชะงักไปนานหลายปี อย่างไรก็ตาม ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสานต่อโครงการให้สำเร็จ การก่อสร้างจึงกลับมาดำเนินต่ออีกครั้ง และค่อยๆ สร้างชิ้นส่วนรูปปั้นให้เสร็จสมบูรณ์ทีละส่วน แม้จะต้องใช้เวลาเกือบสามทศวรรษ


ในที่สุด ความฝันอันยาวนานนี้ก็กลายเป็นจริง เมื่อรูปปั้น พระวิษณุประทับบนพญาครุฑ ได้ประกอบเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2561 (ค.ศ. 2018) ด้วยความสูง 121 เมตร ทำให้เป็นหนึ่งในรูปปั้นที่สูงที่สุดในโลก และกลายเป็นสัญลักษณ์ใหม่ที่โดดเด่นของเกาะบาหลี อุทยานแห่งนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยว แต่เป็นบทพิสูจน์ถึงความอุตสาหะและความมุ่งมั่นที่จะสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมและศาสนาของชาวบาหลีอย่างแท้จริง

เอกลักษณ์

เอกลักษณ์ที่โดดเด่นและเป็นที่จดจำที่สุดของสวนวิษณุการูด้าคือ รูปปั้นพระวิษณุประทับบนพญาครุฑ ที่มีความสูงถึง 121 เมตร ทำให้เป็นหนึ่งในรูปปั้นที่สูงที่สุดในโลก ความยิ่งใหญ่ของประติมากรรมนี้ไม่เพียงแต่เป็นความสำเร็จทางวิศวกรรมที่น่าทึ่ง แต่ยังเป็นสัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์ที่แสดงถึง พระวิษณุ เทพผู้พิทักษ์จักรวาล และ พญาครุฑ ซึ่งเป็นพาหนะผู้ซื่อสัตย์และเป็นสัญลักษณ์ของความภักดีและความแข็งแกร่ง


นอกจากรูปปั้นแล้ว เอกลักษณ์อีกประการคือบทบาทของอุทยานในฐานะ ศูนย์รวมวัฒนธรรม ที่มีชีวิตชีวา ไม่ใช่แค่เพียงแหล่งท่องเที่ยวแต่เป็นสถานที่จัดงานทางศาสนาและงานเฉลิมฉลองต่างๆ ที่สำคัญของบาหลี มีพื้นที่กลางแจ้งขนาดใหญ่ เช่น ลานสระบัว (Lotus Pond) ซึ่งสามารถใช้เป็นเวทีสำหรับการแสดงทางวัฒนธรรมต่างๆ ของชาวบาหลีได้อย่างอลังการ ทำให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสถึงศิลปะและประเพณีดั้งเดิมไปพร้อมๆ กับการชื่นชมความยิ่งใหญ่ของรูปปั้น

โปรแกรม บาหลี - บาหลีบุโรพุทโธ

เรารวมทุกสถานที่เที่ยวสุดฮิตของอินโดนีเซียไว้ใน 2 โปรแกมนี้แล้ว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy